อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
รีวิวเที่ยว อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
ที่เที่ยวใกล้ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
คำถามพบบ่อยเมื่อไป อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
ช่วงเวลาใดเหมาะกับการไปเยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์อยุธยามากที่สุด?
ช่วงเวลาใดเหมาะกับการไปเยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์อยุธยามากที่สุด?
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาตั้งอยู่ที่ใด?
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาตั้งอยู่ที่ใด?
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครอยุธยาเปิดให้บริการกี่โมง?
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครอยุธยาเปิดให้บริการกี่โมง?
ต้องเสียค่าเข้าชมอุทยานพระนครประวัติศาสตร์อยุธยาหรือไม่?
ต้องเสียค่าเข้าชมอุทยานพระนครประวัติศาสตร์อยุธยาหรือไม่?
ภายในอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยามีกี่วัดและโบราณสถาน?
ภายในอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยามีกี่วัดและโบราณสถาน?
มีคำแนะนำในการเดินทางไปอุทยานประวัติศาสตร์อยุธยาหรือไม่?
มีคำแนะนำในการเดินทางไปอุทยานประวัติศาสตร์อยุธยาหรือไม่?
ก่อนไป อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ต้องรู้อะไรบ้าง?
เที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เป็นแหล่งมรดกโลกที่องค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนเมื่อปี พ.ศ. 2534 ครอบคลุมพื้นที่ใจกลางของเกาะเมืองอยุธยาและบริเวณโดยรอบ รวมพื้นที่กว่า 1,810 ไร่ โดยเป็นที่ตั้งของโบราณสถานสำคัญกว่า 90 แห่ง เช่น วัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ วัดพระศรีสรรเพชญ์ และพระราชวังหลวง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของอาณาจักรอยุธยาในฐานะราชธานีที่ยิ่งใหญ่ของไทยนานถึง 417 ปี โบราณสถานที่กระจายอยู่ทั่วอุทยานฯ ล้วนแสดงถึงความเจริญทางศิลปกรรม ศาสนา การปกครอง และวิถีชีวิตของผู้คนในยุคนั้นได้อย่างลึกซึ้ง
ด้วยทำเลที่ตั้งของอยุธยาเป็นเกาะล้อมรอบด้วยแม่น้ำ 3 สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี ส่งผลให้เมืองมีความอุดมสมบูรณ์ มีระบบคมนาคมทางน้ำที่สะดวก และยังเป็นปราการธรรมชาติที่ช่วยป้องกันข้าศึก อาณาจักรอยุธยาเจริญรุ่งเรืองในฐานะศูนย์กลางการค้าและการทูตระดับภูมิภาค โดยมีพ่อค้าและฑูตจากหลากหลายเชื้อชาติ เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย อาหรับ โปรตุเกส และฝรั่งเศส เข้ามาตั้งรกรากและทำการค้าขาย ส่งผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่หลากหลายและเข้มข้น
ในปัจจุบัน อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ยอดนิยมของทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมโบราณสถานโบราณวัดเก่าแก่ ถ่ายภาพความงามของสถาปัตยกรรมโบราณ หรือปั่นจักรยานลัดเลาะตามเส้นทางประวัติศาสตร์เพื่อสัมผัสบรรยากาศอันสงบร่มรื่นของเมืองเก่า โดยภายในอุทยานฯ ยังมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา ซึ่งจัดแสดงโบราณวัตถุและข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอยุธยาอย่างครบถ้วน ถือเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้รากเหง้าของอารยธรรมไทยอย่างแท้จริง
วิธีการเดินทางไปอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
1. โดยรถไฟ
ขึ้นรถไฟจาก สถานีหัวลำโพง หรือ สถานีกลางบางซื่อไปยังสถานีอยุธยา ใช้เวลาประมาณ 1--2 ชั่วโมง ราคาถูก เริ่มต้นเพียง 15--50 บาท รถไฟชั้น 3 จะประหยัดที่สุด แต่ต้องเผื่อเวลาเรื่องที่นั่งและไม่เผื่อเวลา (แนะนำให้จองล่วงหน้าหากไปเช้า) เมื่อถึงสถานีอยุธยา สามารถเดินหรือเรียก รถตุ๊กตุ๊ก เพื่อเข้าสู่เขตอุทยานฯ ได้สะดวก
2. โดยรถตู้
เดินทางด้วยรถตู้ จากสถานีหมอชิต หรือ ถนนข้าวสารไปถึงอยุธยา ใช้เวลา 1.5-2 ชั่วโมง ค่าโดยสารประมาณ 60-210 บาท รถตู้จากข้าวสารจะถึงใจกลางเมืองอยุธยาใกล้ตลาดเจ้าพรหม เดินต่อไม่ไกลหรือเรียกตุ๊กตุ๊กเพื่อเข้าอุทยานฯ ได้เลย
3. โดยรถยนต์ส่วนตัวหรือแท็กซี่
หากต้องการเดินทางสะดวกเต็มรูปแบบ สามารถขับรถผ่าน ถนนพหลโยธิน → ทางหลวง 32 → 309 ไปยังอยุธยา (ระยะทางประมาณ 75 กม.ใช้เวลาประมาณ 55 นาที) หรือเรียก แท็กซี่ หรือ รถเช่าจากกรุงเทพฯ เหมาะกับการเดินทางแบบส่วนตัวและไปกันทั้งครอบครัว
4. บริการรถรับส่งและเหมารถตู้
สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยว สามารถจองบริการ Shuttle Bus หรือ รถตู้เหมาทัวร์ จากกรุงเทพฯ ถึงอยุธยาได้ โดยส่วนมากรวมแวะชมโบราณสถานโดยรอบและเหมาะกับการเที่ยวเป็นกลุ่มใหญ่
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาอยุธยา
ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 1893 โดยพระเจ้าอู่ทอง พื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณชื่อ "อโยธยา" หรือ "อโยธยาศรีรามเทพนคร" ตั้งอยู่บริเวณด้านตะวันออกนอกเกาะเมืองในปัจจุบัน มีหลักฐานโบราณสถานสำคัญ เช่น วัดมเหยงคณ์ และวัดอโยธยา รวมถึงการกล่าวถึงในพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ อักษรนิติ ที่ระบุว่าพระเจ้าพนัญเชิง วัดพนัญเชิง ถูกสร้างขึ้นก่อนการก่อตั้งกรุงศรีอยุธยาถึง 26 ปี
ทำเลของกรุงศรีอยุธยาซึ่งตั้งอยู่บนเกาะล้อมรอบด้วยแม่น้ำสำคัญสามสาย ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี ทำให้พื้นที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเกษตรและเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางการค้าและการป้องกันข้าศึก กรุงศรีอยุธยาจึงสามารถเป็นราชธานีที่มั่นคงและทรงอิทธิพลนานนับร้อยปี
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20--23 กรุงศรีอยุธยากลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ มีชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐานมากมาย เช่น ชาวจีน ญี่ปุ่น อินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ โปรตุเกส สเปน ฮอลันดา อังกฤษ และฝรั่งเศส บางกลุ่มได้รับพระราชทานที่ดินเพื่อสร้างสถานีการค้า หมู่บ้าน หรือศาสนสถาน โดยหมู่บ้านต่างชาติมักตั้งอยู่นอกเมือง ยกเว้นกลุ่มที่ใกล้ชิดกับราชสำนัก เช่น ชาวจีน แขกฮินดู และมุสลิมบางส่วน ที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในเขตเมือง
นอกจากด้านเศรษฐกิจแล้ว กรุงศรีอยุธยายังมีความเจริญทางด้านการปกครอง กฎหมาย สังคม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และวิทยาการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม วรรณกรรม ดนตรี และนาฏศิลป์ โดยเฉพาะงานช่างฝีมือที่มีความวิจิตรบรรจง เป็นแบบอย่างที่ราชธานีในยุคต่อมาอย่างกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ได้สืบทอดและพัฒนาจนกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยมาจนถึงปัจจุบัน
ประวัติความเป็นมาของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาอยุธยา
ด้วยความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี "เกาะเมืองอยุธยา" จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 4,800 ไร่ ลักษณะของเกาะเมืองเกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำโดยรอบ ทำให้มีรูปร่างไม่แน่นอน บางคนเปรียบว่ามีลักษณะคล้ายน้ำเต้า
เดิมทีแนวกำแพงเมืองของกรุงศรีอยุธยาเป็นคันดินและมีเสาไม้เป็นแนวป้องกัน ต่อมาในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พ.ศ. 2091--2111) ได้มีการเปลี่ยนเป็นกำแพงอิฐถาวร แต่ภายหลังถูกทำลายไปในช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 และมีการรื้อถอนเพิ่มเติมในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อนำอิฐไปใช้ในการก่อสร้างในกรุงเทพฯ และเพื่อป้องกันไม่ให้พื้นที่นี้กลายเป็นแหล่งซ่องสุมผู้คน
ลักษณะเมืองอยุธยาเป็น "เมืองน้ำ" ที่มีระบบคูคลองเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายทั่วทั้งเมือง ใช้ประโยชน์ทั้งด้านการคมนาคมและการระบายน้ำในฤดูน้ำหลาก ผังเมืองจึงประกอบด้วยถนนและคลองที่ทอดขนานกัน ทั้งถนนดินและถนนปูอิฐ รวมถึงสะพานที่สร้างข้ามคลองมากกว่า 30 แห่ง มีทั้งสะพานไม้และสะพานอิฐ
จากการสำรวจพบว่า มีโบราณสถานในพื้นที่เกาะเมืองและรอบนอกมากกว่า 425 แห่ง อย่างไรก็ตาม ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะโบราณสถานสำคัญที่อยู่ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,810 ไร่ บริเวณใจกลางเกาะเมือง รวมถึงพื้นที่ด้านทิศเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ โดยสำรวจพบโบราณสถานแล้วทั้งหมด 95 แห่ง ภายในเกาะเมืองอยุธยา
วัดและโบราณสถานที่สำคัญในอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
วัดไชยวัฒนาราม
วัแห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณตำบลบ้านป้อม นอกเขตเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2173 ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง กษัตริย์องค์ที่ 24 แห่งกรุงศรีอยุธยา เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระราชมารดา และถือเป็นหนึ่งในวัดที่มีความงดงามโดดเด่นที่สุดในยุคนั้น
วัดไชยวัฒนารามมีลักษณะสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงการรื้อฟื้นรูปแบบศิลปกรรมสมัยอยุธยาตอนต้น โดยมีปรางค์ประธานขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส และมีปรางค์บริวารทั้งสี่มุม ฐานปรางค์ประธานรายล้อมด้วยพระระเบียงที่ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ผนังระเบียงก่ออิฐถือปูนและประดับด้วยลูกกรงลายกุดั่นอย่างประณีต
พระอุโบสถตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของวัด ภายในแม้จะเหลือเพียงซากพระประธาน แต่ยังเห็นได้ว่าพระพุทธรูปทรงเครื่องปางมารวิชัยนี้สร้างจากหินทราย บ่งบอกถึงความวิจิตรของงานประติมากรรมในอดีต นอกจากนี้ยังมีใบเสมาแกะสลักจากหินสีเขียว ลวดลายประณีตเป็นลายประจำยามและลายก้านขด บริเวณด้านหน้าพระอุโบสถยังมีเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองจำนวน 2 องค์ ขนาดฐานกว้าง 12 เมตร สูง 12 เมตร ซึ่งเป็นรูปแบบศิลปกรรมที่เริ่มแพร่หลายในยุคของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
วัดไชยวัฒนารามยังเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นที่ฝังพระศพของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร (เจ้าฟ้ากุ้ง) กวีเอกในสมัยอยุธยาตอนปลาย และเจ้าฟ้าสังวาล ซึ่งสิ้นพระชนม์จากการถูกลงพระราชอาญาในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม วัดไชยวัฒนารามจึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติเมื่อปี พ.ศ. 2478 และได้รับการบูรณะดูแลโดยกรมศิลปากรอย่างต่อเนื่อง ทำให้วัดยังคงความงามสง่าและทรงคุณค่าดังเดิมจนถึงปัจจุบัน
วัดมหาธาตุ
วัดมหาธาตุ เป็นหนึ่งในวัดสำคัญที่สุดของกรุงศรีอยุธยา สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) ราวปี พ.ศ. 1917 เพื่อเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ภายในวัดมีโบราณสถานที่โดดเด่น เช่น พระปรางค์ประธานขนาดใหญ่ซึ่งเคยสูงกว่า 40 เมตร และพระระเบียงล้อมรอบ รวมถึงอาคารและเจดีย์รายที่สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญทางศิลปกรรมในสมัยอยุธยาตอนต้น
สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากให้มาเยือนวัดมหาธาตุคือ "เศียรพระพุทธรูปในรากต้นโพธิ์" ซึ่งเป็นภาพที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นและกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โดยเชื่อกันว่าเศียรพระนี้ตกลงมาจากองค์พระเมื่อวัดถูกทำลายในช่วงสงครามเสียกรุง และต่อมารากของต้นโพธิ์ก็เจริญเติบโตพันรอบเศียรพระจนกลายเป็นภาพอันน่าตรึงตา ซึ่งสื่อถึงพลังแห่งธรรมชาติและกาลเวลาได้อย่างน่าทึ่ง
วัดมหาธาตุตั้งอยู่บริเวณใจกลางเกาะเมืองอยุธยา ใกล้กับวัดราชบูรณะและวัดพระศรีสรรเพชญ์ ปัจจุบันเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าชม โดยยังคงหลงเหลือซากปรักหักพังที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นฐานพระปรางค์ ซากพระพุทธรูป และเจดีย์รายที่กระจายตัวอยู่ทั่วพื้นที่วัด วัดแห่งนี้จึงถือเป็นจุดหมายที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้สนใจศึกษาประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และรากเหง้าของอารยธรรมไทยในยุคกรุงศรีอยุธยา
วัดพระศรีสรรเพชญ์
วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวัดหลวงประจำพระราชวังหลวงในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ภายในเขตพระราชวังโบราณ ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา จึงมีลักษณะเป็นวัดสำหรับประกอบพิธีกรรมสำคัญของราชสำนัก เช่น พิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา หรือพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ราวปี พ.ศ. 1991 และมีการขยายและตกแต่งเพิ่มเติมในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 และสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3
ภายในวัดพระศรีสรรเพชญ์มีสิ่งก่อสร้างสำคัญ คือ เจดีย์ทรงลังกา 3 องค์ที่ตั้งเรียงกันอย่างโดดเด่น เป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์ 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 และสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 รูปแบบของเจดีย์ทั้งสามองค์ได้รับอิทธิพลจากลังกาและมีอิทธิพลต่อการสร้างเจดีย์ในยุคต่อมา โดยเฉพาะเจดีย์ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามในกรุงเทพมหานคร ซึ่งจำลองรูปแบบมาจากวัดพระศรีสรรเพชญ์แห่งนี้
แม้ในปัจจุบันวัดพระศรีสรรเพชญ์จะเหลือเพียงซากปรักหักพัง แต่ก็ยังคงเปี่ยมด้วยมนต์เสน่ห์และคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างล้นเหลือ นักท่องเที่ยวจะได้ชมความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมในอดีต และเรียนรู้ถึงบทบาทของวัดแห่งนี้ในฐานะศูนย์กลางพิธีกรรมของราชสำนักอยุธยา ถือเป็นจุดหมายสำคัญในอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือน
วัดใหญ่ชัยมงคล
วัดใหญ่ชัยมงคล เป็นวัดสำคัญในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเมืองอยุธยา สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น โดยเดิมมีชื่อว่า "วัดป่าแก้ว" ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะวัดแห่งนี้ขึ้นใหม่ และสร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะจากศึกยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชแห่งหงสาวดี ในปี พ.ศ. 2135 จึงเปลี่ยนชื่อเป็น "วัดใหญ่ชัยมงคล" ซึ่งหมายถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่
องค์พระเจดีย์ใหญ่ของวัดนี้เป็นจุดเด่นที่สำคัญ ด้วยรูปทรงระฆังแบบลังกา ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานวัด มีบันไดให้สามารถขึ้นไปชมวิวโดยรอบได้ จากยอดเจดีย์สามารถมองเห็นทัศนียภาพของเมืองอยุธยาได้อย่างชัดเจน บริเวณโดยรอบยังมีเจดีย์ราย พระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ รวมถึงพระอุโบสถที่ประดิษฐานพระพุทธชัยมงคล ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ
วัดใหญ่ชัยมงคลถือเป็นหนึ่งในวัดที่ยังคงมีการฟื้นฟูและใช้งานทางศาสนาอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและประกอบพิธีกรรมของชาวพุทธ ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวและผู้แสวงบุญมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงวันสำคัญทางศาสนา ทำให้วัดแห่งนี้เป็นทั้งแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมและเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและผู้มาเยือนจากทั่วทุกสารทิศ
วัดราชบูรณะ
วัดราชบูรณะเป็นหนึ่งในวัดที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยา สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 หรือพระเจ้าสามพระยาเมื่อปี พ.ศ. 1967 เพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระเชษฐาทั้งสองพระองค์ คือเจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยา ซึ่งสิ้นพระชนม์จากการชิงราชสมบัติ วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเกาะเมืองอยุธยา ใกล้กับวัดมหาธาตุ มีเจดีย์ประธานขนาดใหญ่ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะเขมรผสมผสานกับศิลปะอยุธยา มีความโดดเด่นทั้งในด้านโครงสร้างและความวิจิตรของลวดลายปูนปั้น
เจดีย์ประธานของวัดราชบูรณะมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะภายในกรุได้ค้นพบโบราณวัตถุจำนวนมาก เช่น เครื่องทองคำ เครื่องถ้วย และพระพุทธรูปสำริดขนาดเล็ก เป็นหลักฐานยืนยันถึงความเจริญรุ่งเรืองของกรุงศรีอยุธยาในยุคนั้น และแสดงให้เห็นถึงความสามารถของช่างฝีมือในราชสำนัก วัดแห่งนี้จึงเป็นที่สนใจของนักโบราณคดีและนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ทั้งในด้านสถาปัตยกรรมและมรดกทางวัฒนธรรม
ในปัจจุบัน วัดราชบูรณะได้รับการบูรณะโดยกรมศิลปากร และเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก นักท่องเที่ยวที่มาเยือนสามารถเข้าชมภายในเจดีย์ได้ และมีโอกาสศึกษาประวัติศาสตร์ผ่านภาพจิตรกรรมและโบราณวัตถุจำลองที่จัดแสดงไว้ภายใน วัดราชบูรณะจึงเป็นสถานที่ที่สะท้อนความรุ่งเรืองในอดีต และเป็นจุดหมายสำคัญสำหรับผู้ที่สนใจเรียนรู้มรดกทางวัฒนธรรมของไทย
วิหารพระมงคลบพิตร
วิหารพระมงคลบพิตร เป็นหนึ่งในโบราณสถานสำคัญที่ตั้งอยู่ใกล้กับพระราชวังหลวงภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา โดยภายในประดิษฐานพระมงคลบพิตร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปหล่อสำริดขนาดใหญ่ ปางมารวิชัย มีขนาดหน้าตักกว้างถึง 9.55 เมตร และสูงถึง 12.45 เมตร นับเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปสำริดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พระพุทธรูปองค์นี้สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น และได้รับการบูรณะหลายครั้งในรัชสมัยต่าง ๆ เพื่อคงสภาพความงดงามและความศักดิ์สิทธิ์ไว้
ตัววิหารที่ครอบพระพุทธรูปองค์นี้แต่เดิมเคยถูกไฟไหม้ในช่วงสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง แต่ได้มีการบูรณะขึ้นใหม่หลายครั้ง โดยเฉพาะในรัชกาลที่ 5 และครั้งสำคัญในสมัยรัชกาลที่ 9 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณะวิหารและองค์พระให้สมบูรณ์ โดยยังคงรักษารูปแบบสถาปัตยกรรมเดิมไว้อย่างงดงาม ภายในวิหารมีบรรยากาศที่สงบร่มเย็น เหมาะแก่การเข้าไปสักการะและทำจิตใจให้สงบ
นอกจากจะเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวอยุธยาและนักท่องเที่ยวแล้ว วิหารพระมงคลบพิตรยังเป็นจุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมในเกาะเมือง เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับโบราณสถานสำคัญอื่น ๆ เช่น วัดพระศรีสรรเพชญ์ และพระราชวังโบราณ จึงสามารถเดินเที่ยวชมต่อเนื่องได้อย่างสะดวก ผู้มาเยือนสามารถร่วมสักการะองค์พระเพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมทั้งสัมผัสบรรยากาศทางประวัติศาสตร์ที่อบอวลอยู่ในทุกมุมของวิหารแห่งนี้อย่างลึกซึ้ง
กิจกรรมน่าสนใจเมื่อไปเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
1. ปั่นจักรยานเที่ยวชมโบราณสถาน
การปั่นจักรยานถือเป็นวิธีที่สะดวกและได้รับความนิยมในการเที่ยวชมโบราณสถานรอบเกาะเมืองอยุธยา นักท่องเที่ยวสามารถเช่าจักรยานจากร้านเช่าหลายแห่งที่มีอยู่รอบเมืองในราคาย่อมเยา โดยเส้นทางจักรยานจะพาไปชมวัดสำคัญ เช่น
วัดมหาธาตุ ที่มีเศียรพระพุทธรูปในรากไม้
วัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งเคยเป็นวัดประจำพระราชวังหลวง
วัดราชบูรณะ ที่มีเจดีย์สูงและห้องใต้ดินโบราณ\ การปั่นจักรยานจะทำให้สามารถหยุดแวะตามจุดต่างๆ ได้อย่างอิสระ เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศสงบร่มรื่น และเหมาะกับการเที่ยวชมแบบไม่เร่งรีบ
2. แต่งชุดไทยถ่ายภาพย้อนยุค
กิจกรรมยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บภาพความทรงจำแบบย้อนยุค โดยรอบๆ อุทยานมีบริการให้เช่าชุดไทยหลากหลายแบบ ทั้งแบบชาวบ้าน ขุนนาง และราชสำนัก ชุดมักมาพร้อมเครื่องประดับให้ครบเซต นักท่องเที่ยวสามารถสวมใส่ชุดไทยเดินเที่ยวชมวัดวาและโบราณสถาน พร้อมถ่ายภาพกับสถาปัตยกรรมเก่าแก่ เช่น เจดีย์ทรงระฆัง กำแพงอิฐ หรือเศียรพระพุทธรูปโบราณ\ ชุดไทยที่ใส่ถ่ายรูปในสถานที่ที่มีความขลังอย่างอยุธยา จะทำให้ภาพถ่ายออกมาสวยงามและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์
3. ล่องเรือชมวัดรอบเกาะเมือง
อยุธยาเคยเป็นเมืองน้ำ มีแม่น้ำสามสายล้อมรอบ การล่องเรือรอบเกาะเมืองจึงเป็นกิจกรรมยอดฮิตที่ให้มุมมองต่างจากบนบก นักท่องเที่ยวจะได้นั่งเรือไม้หรือนั่งเรือหางยาว ล่องผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี ชมวัดสำคัญริมฝั่ง เช่น
วัดไชยวัฒนาราม ที่งดงามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
วัดพนัญเชิงวรวิหาร ที่มีพระพุทธไตรรัตนนายกองค์ใหญ่\ เรือบางลำมีไกด์ท้องถิ่นบรรยายเรื่องราวประวัติศาสตร์ ช่วยให้เข้าใจบริบทของแต่ละวัดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะช่วงเย็นที่พระอาทิตย์กำลังตก สะท้อนแสงลงน้ำ ทำให้บรรยากาศโรแมนติกและผ่อนคลาย
4. สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และทำบุญตามวัดสำคัญ
อยุธยาเป็นเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยวัดโบราณซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพนับถือของประชาชน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปกราบไหว้และทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคลได้ในหลายวัด เช่น
วัดพนัญเชิงวรวิหาร สักการะพระพุทธไตรรัตนนายก หรือ "หลวงพ่อโต" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่ที่ผู้คนศรัทธามากที่สุดแห่งหนึ่ง
วัดใหญ่ชัยมงคล ทำบุญ ถวายสังฆทาน และไหว้พระเจดีย์ชัยมงคลที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
วัดหน้าพระเมรุ ขอพรพระพุทธรูปหล่อสำริดขนาดใหญ่ในท่าประทับนั่ง "ขัดสมาธิเพชร" ซึ่งรอดพ้นจากการถูกทำลายในช่วงสงคราม\ กิจกรรมสักการะและทำบุญนี้เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเติมพลังใจ พร้อมสัมผัสถึงความสงบสุขและความศรัทธาที่ฝังแน่นในประวัติศาสตร์ไทย
อาหารท้องถิ่นในพระนครศรีอยุธยา
อาหารท้องถิ่นของพระนครศรีอยุธยาเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ที่สะท้อนถึงรากเหง้าวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวเมืองเก่า หนึ่งในเมนูขึ้นชื่อที่สุดคือ “ก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยา” ซึ่งเป็นอาหารริมทางที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย จุดเด่นคือเส้นเล็กเหนียวนุ่ม น้ำซุปเข้มข้นหอมกลิ่นเครื่องเทศ และมักมีเลือดผสมเพื่อเพิ่มรสชาติเข้มข้น เสิร์ฟในชามเล็กแบบโบราณ และมีให้เลือกทั้งเนื้อหมู เนื้อวัว ลูกชิ้น เครื่องใน ซึ่งหลายร้านตั้งอยู่ริมคลองหรือในตลาดเก่า ยังคงบรรยากาศย้อนยุคเอาไว้ได้อย่างน่าประทับใจ
นอกจากนี้ เมนูที่ห้ามพลาดเมื่อมาถึงอยุธยา คือ “กุ้งแม่น้ำเผา” ที่ขึ้นชื่อเรื่องขนาดตัวใหญ่ เนื้อแน่น มันกุ้งเยิ้มและกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย โดยเฉพาะเมื่อรับประทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บก็ยิ่งอร่อยจนหยุดไม่ได้ ร้านอาหารริมน้ำหลายแห่งในอยุธยามีบริการกุ้งแม่น้ำสดใหม่จากแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ทั้งสดและเผามาอย่างดี ทำให้เนื้อกุ้งเด้งกำลังดี
อีกหนึ่งของหวานขึ้นชื่อของอยุธยาคือ “โรตีสายไหม” ซึ่งเป็นขนมที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างหลงรัก ความอร่อยอยู่ที่แผ่นแป้งบางเหนียวนุ่มที่ทำสดใหม่ และสายไหมหวานหอมที่ม้วนไว้ด้านใน จับคู่กันอย่างลงตัว โดยเฉพาะโรตีสายไหมแม่ป้อมหรือแม่เก็บที่เป็นร้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน จนกลายเป็นของฝากยอดนิยมที่ต้องซื้อกลับทุกครั้งที่มาเยือนอยุธยา
ดูกิจกรรมอื่น ๆ บน Klook
สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
- 1 แม่น้ําเจ้าพระยา
- 2 ศรีอยุธยา ไลอ้อน ปาร์ค
- 3 พระราชวังบางปะอิน
- 4 ตลาดน้ําอโยธยา
- 5 Ayutthaya Elephant Palace & Royal Kraal
- 6 Japanese Village
- 7 วัดใหญ่ชัยมงคล
- 8 วัดพระศรีสรรเพชญ์
- 9 Wat Chaiwatthanaram
- 10 Ayutthaya City Park
- 11 ตลาดโก้งโค้ง
- 12 วิหารพระมงคลบพิตร
- 13 วัดพระราม
- 14 Chao Phrom Market
- 15 วัดโลกยสุธา
- 16 อุโมงค์ป่าไผ่
- 17 Wat Phanan Choeng Worawihan
- 18 พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา
- 19 Wat Na Phra Men Rachikaram
