แนะนำ 5 เส้นทางรถไฟสุดโรแมนติกชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ร่วงถือเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติและความโรแมนติก เพราะตั้งแต่ปลายตุลาคมจนถึงกลางพฤศจิกายน ทั่วประเทศจะถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันของใบไม้ที่เปลี่ยนจากเขียวเป็นเหลือง ส้ม และแดงอย่างตระการตา การชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีมีหลายวิธี ทั้งการเดินเขา การล่องเรือ แต่หนึ่งในวิธีที่ทั้งสะดวก สบาย และสวยที่สุดก็คือการนั่งรถไฟ
รถไฟในญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องความตรงต่อเวลา ความสะอาด และความปลอดภัย แต่ที่ทำให้พิเศษในช่วงฤดูใบไม้ร่วงคือการได้ชมวิวสวย ๆ จากหน้าต่างระหว่างการเดินทาง หลายเส้นทางถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ เช่น Sagano Romantic Train ที่วิ่งเลียบแม่น้ำในเกียวโต หรือ Hakone Tozan Railway ที่ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นภูเขา พร้อมมอบวิวใบไม้แดงให้ชมแบบ 360 องศา
บทความนี้เราจะพาคุณไปสำรวจ 5 เส้นทางรถไฟสุดโรแมนติก ที่คัดมาแล้วว่าสวยที่สุดสำหรับการชมใบไม้เปลี่ยนสี พร้อม ข้อมูลการเดินทาง แผนที่รถไฟในญี่ปุ่น เคล็ดลับจองตั๋ว และเคล็ดลับเด็ดในการเลือกที่นั่ง เพื่อให้ทริปนี้พิเศษและประทับใจที่สุด
ทำไมต้องนั่งรถไฟชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น?
การชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นถือเป็น Bucket List ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก แต่หลายคนอาจลังเลว่าจะเลือกเดินทางแบบไหนดี รถไฟคือคำตอบที่สมบูรณ์แบบด้วยเหตุผลหลายประการ และไม่ใช่แค่เรื่องความสะดวกเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับบรรยากาศและประสบการณ์ที่ไม่มีอะไรเหมือน
เหตุผลที่ควรเลือกนั่งรถไฟในฤดูใบไม้ร่วง
- วิวพาโนรามาแบบเต็มตา: รถไฟสายโรแมนติกในญี่ปุ่นมักออกแบบหน้าต่างบานใหญ่ เปิดโอกาสให้คุณชมวิวใบไม้แดงที่ปกคลุมหุบเขาและแม่น้ำได้อย่างจุใจ
- สะดวกและปลอดภัย: ไม่ต้องขับรถเอง ไม่ต้องกังวลเรื่องที่จอด เพียงนั่งสบาย ๆ ชมวิวเพลิน ๆ
- บรรยากาศโรแมนติก: สำหรับคู่รัก การนั่งรถไฟท่ามกลางใบไม้สีแดงคือโมเมนต์ที่อบอวลด้วยความโรแมนติก เหมาะสำหรับการถ่ายรูปสวย ๆ เก็บไว้เป็นความทรงจำ
- คุ้มค่าเวลา: ในหนึ่งวันสามารถนั่งรถไฟหลายเส้นทาง หรือใช้ร่วมกับ JR Pass เพื่อเที่ยวหลายภูมิภาคได้
ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการชมใบไม้เปลี่ยนสี
ฤดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่นแตกต่างกันไปตามภูมิภาค ควรเช็คช่วงเวลากับภูมิภาคที่ไปให้ดี
- ฮอกไกโด: ปลายกันยายน – ต้นตุลาคม
- ภูมิภาคโทโฮคุ: ต้นถึงกลางตุลาคม
- คันโตและคันไซ (โตเกียว, เกียวโต): ปลายตุลาคม – กลางพฤศจิกายน
- คิวชู: ปลายพฤศจิกายน – ต้นธันวาคม
Klook's Tips: ตรวจสอบเว็บไซต์ Japan Meteorological Agency หรือแอปอย่าง Navitime เพื่อดูพยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี (Koyo Forecast) ก่อนเดินทาง
ประเภทของรถไฟในญี่ปุ่นสำหรับเส้นทางชมวิว
- รถไฟท่องเที่ยวพิเศษ (Sightseeing Train): มีการตกแต่งพิเศษ เช่น Sagano Romantic Train
- รถไฟท้องถิ่น: วิ่งช้า เหมาะสำหรับการชมวิวแบบไม่รีบ
- รถไฟไอน้ำ (Steam Locomotive): เช่น Oigawa Railway ให้บรรยากาศย้อนยุคเหมาะกับสายวินเทจ
- รถไฟพร้อมบริการพิเศษ: บางขบวนมีตู้ Observation Deck หรือเสิร์ฟของว่างท้องถิ่น
แผนที่และการเตรียมตัวสำหรับเส้นทางรถไฟในญี่ปุ่น
การเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีด้วยรถไฟในญี่ปุ่นจะสนุกและราบรื่นมากขึ้นถ้าคุณวางแผนล่วงหน้าอย่างรอบคอบ เพราะระบบรถไฟญี่ปุ่นมีความซับซ้อนแต่ก็ครอบคลุมทั่วประเทศ หากเข้าใจหลักการใช้งานและเตรียมเครื่องมือให้พร้อม คุณจะสามารถท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจ
เข้าใจระบบรถไฟญี่ปุ่นและแผนที่ (Japan Rail Map)
ญี่ปุ่นมีเครือข่ายรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยแบ่งออกเป็น รถไฟ JR Group (รัฐวิสาหกิจ) และรถไฟเอกชนหลายสาย สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ JR Pass ถือเป็นสิ่งสำคัญเพราะครอบคลุมเส้นทางหลักแทบทั้งหมด หากคุณวางแผนเที่ยวหลายภูมิภาค การใช้ JR Pass จะช่วยประหยัดได้มาก
Klook's Tips:
- ดาวน์โหลด Japan Rail Map App หรือใช้เว็บไซต์ HyperDia / Navitime สำหรับวางแผนเส้นทาง
- ทำความเข้าใจสัญลักษณ์ของแต่ละเส้นทาง เช่น JR East, JR West, JR Central
- ตรวจสอบระยะเวลาของตั๋ว เช่น JR Pass ใช้ได้กี่วัน
สิ่งที่ควรเตรียมก่อนเดินทาง
- ตั๋วล่วงหน้า: รถไฟสายโรแมนติกบางสาย เช่น Sagano Romantic Train มีที่นั่งจำกัดและเต็มเร็วมาก
- แอปช่วยวางแผน: Navitime, Google Maps (เลือกโหมด Transit)
- เงินสดสำรอง: บางเส้นทางต้องจ่ายเป็นเงินสดที่สถานีเล็ก ๆ
- เวลา: อย่าลืมเผื่อเวลาต่อรถไฟ เพราะบางเส้นทางห่างกันมาก
วิธีใช้ JR Pass ให้คุ้มค่า
- เลือกเส้นทางที่ครอบคลุมหลายภูมิภาค เช่น Gono Line ทางเหนือ และ Hakone ทางคันโตในทริปเดียว
- จองที่นั่งฟรีผ่านตู้ Midori no Madoguchi ที่สถานี JR หรือผ่านเว็บไซต์ JR East/West
- ใช้ร่วมกับ Regional Pass ถ้าเที่ยวเฉพาะภูมิภาคเดียว เช่น JR East Pass หรือ JR Kansai Wide Area Pass
5 เส้นทางรถไฟสุดโรแมนติกชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นมีเส้นทางรถไฟมากมายที่สามารถชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีได้ แต่ 5 เส้นทางนี้คือที่สุดที่ไม่ควรพลาด แต่ละเส้นทางมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ทั้งวิวหุบเขา แม่น้ำ ภูเขาไฟ และป่าใบไม้แดง
1. Sagano Romantic Train (เกียวโต)
จุดเด่น:
Sagano Romantic Train หรือที่เรียกว่า Torokko Train คือหนึ่งในเส้นทางยอดนิยมที่ตั้งอยู่ในเกียวโต จุดขายคือวิวสุดตระการตาของแม่น้ำโฮซุกาวะและหุบเขาอาราชิยามะ ซึ่งในฤดูใบไม้ร่วงจะถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงและส้มสวยงามราวกับภาพวาด
- ระยะทาง: 7 กม. ใช้เวลาประมาณ 25 นาที
- จุดขึ้น: สถานี Torokko Saga (เชื่อม JR Sagano Line)
- ที่นั่งพิเศษ: มีโบกี้เปิดโล่ง (The Rich Car) สำหรับถ่ายภาพแบบไม่มีกรอบกระจก
- ช่วงเวลาสวยที่สุด: ต้นถึงกลางพฤศจิกายน
Klook's Tips:
- จองตั๋วล่วงหน้าผ่านอย่างน้อย 2–3 สัปดาห์
- นั่งฝั่งซ้ายขาไปจะเห็นวิวแม่น้ำชัดกว่า
บรรยากาศ:
ระหว่างทางคุณจะได้เห็นโค้งแม่น้ำสีฟ้าใสตัดกับป่าใบไม้สีแดงทอง รถไฟจะแล่นช้าเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ดื่มด่ำกับวิว แถมบางครั้งยังมีพนักงานโบกมือทักทายเพิ่มความเป็นกันเอง
2. Hakone Tozan Railway (ฮาโกเน่)
จุดเด่น:
เส้นทางนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นรถไฟภูเขาสายแรกของญี่ปุ่น มีความยาวกว่า 15 กม. โดยจะค่อย ๆ ไต่ระดับจาก Hakone-Yumoto ขึ้นไปยัง Gora ระหว่างทางคุณจะได้สัมผัสวิวภูเขาที่ปกคลุมด้วยใบไม้แดงและเหลืองสลับกับหมู่บ้านเล็ก ๆ สุดคลาสสิก
- เชื่อมต่อ: จาก Odawara → Hakone-Yumoto → Gora
- เวลาที่แนะนำ: ปลายตุลาคมถึงต้นพฤศจิกายน
- จุดเด่น:
- ระบบสับราง (Switchback) ที่ทำให้รถไฟต้องถอยหลังขึ้นเขา
- ใกล้กับแหล่งออนเซ็นชื่อดังของฮาโกเน่
Klook's Tips:
- ซื้อ Hakone Free Pass เพื่อประหยัดค่าเดินทางและใช้กับรถเคเบิลคาร์และเรือในทะเลสาบอาชิ
- เลือกที่นั่งด้านขวาเพื่อชมวิวชัดขึ้น
3. Kurobe Gorge Railway (โทยามะ)
จุดเด่น:
หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบธรรมชาติและอยากสัมผัสบรรยากาศหุบเขาลึกท่ามกลางป่าไม้สีสวย Kurobe Gorge Railway คือเส้นทางที่ไม่ควรพลาด เส้นทางนี้ตั้งอยู่ในจังหวัดโทยามะ มีความยาวกว่า 20 กิโลเมตร และเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในเส้นทางรถไฟที่มีวิวสวยที่สุดของญี่ปุ่น โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ร่วง
ตลอดเส้นทาง รถไฟจะวิ่งผ่านสะพานเหล็กสีแดงที่ตัดกับใบไม้สีสันสดใส ซึ่งเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมของนักท่องเที่ยว รวมถึงอุโมงค์ที่เจาะผ่านภูเขา และจุดชมวิวแม่น้ำคุโรเบะที่น้ำใสสะท้อนสีใบไม้บนผิวน้ำอย่างสวยงาม
- ระยะทาง: ประมาณ 20.1 กม. ใช้เวลาประมาณ 80 นาที
- สถานีหลัก: Unazuki → Keyakidaira
- ช่วงเวลาสวยที่สุด: ปลายตุลาคม – ต้นพฤศจิกายน
- บรรยากาศ: สายลมเย็นจากแม่น้ำ เสียงรถไฟและเสียงใบไม้ไหวผสมผสานกัน เป็นความเงียบสงบที่ช่วยเติมเต็มพลัง
Klook's Tips:
- หากต้องการชมวิวเต็มตา แนะนำโบกี้เปิดโล่ง (Open Car) แต่ควรเตรียมเสื้อกันลมเพราะอากาศหนาวมากในปลายฤดูใบไม้ร่วง
- ลงที่สถานี Keyakidaira แล้วเดินชมวิวบนสะพานสีแดง Shin-Yamabiko Bridge
4. Gono Line (อาคิตะ – อาโอโมริ)
จุดเด่น:
เส้นทาง Gono Line ถือเป็นเส้นทางที่ผสมผสานวิวภูเขา ป่าไม้ และทะเลญี่ปุ่นเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสีพร้อมวิวทะเล เส้นทางนี้เชื่อมระหว่างจังหวัดอาคิตะและอาโอโมริ โดยมีความยาวกว่า 147 กิโลเมตร
จุดเด่นของ Gono Line คือการที่รถไฟวิ่งเลียบชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น ทำให้คุณได้เห็นคลื่นกระทบชายฝั่งพร้อมกับภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้สีแดงและเหลืองในเวลาเดียวกัน รถไฟบางขบวนมีที่นั่งพิเศษพร้อมหน้าต่างพาโนรามา และบริการอาหารพื้นเมืองสำหรับนักท่องเที่ยว
- ระยะทาง: 147 กม. ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง (ทั้งเส้นทาง)
- สถานีสำคัญ: Higashi-Noshiro → Kawabe
- ช่วงเวลาสวย: ปลายตุลาคม – ต้นพฤศจิกายน
- บรรยากาศ: แสงอาทิตย์สะท้อนผืนน้ำทะเล ผสมกับสีสันใบไม้บนภูเขา ทำให้ภาพวิวระหว่างทางเหมือนภาพถ่ายโปสการ์ด
Klook's Tips:
- เลือกนั่งรถไฟขบวนพิเศษ Resort Shirakami ซึ่งเป็นรถไฟท่องเที่ยวสุดพิเศษของ Gono Line
- จองตั๋วล่วงหน้าผ่าน JR East เพราะที่นั่งเต็มเร็วในฤดูใบไม้ร่วง
- แนะนำให้นั่งฝั่งที่หันไปทางทะเล (ส่วนใหญ่เป็นฝั่งซ้ายเมื่อมุ่งหน้าไป Aomori)
5. Oigawa Railway (ชิซุโอกะ)
จุดเด่น:
เส้นทางนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความคลาสสิก เพราะ Oigawa Railway เป็นรถไฟจักรไอน้ำ (Steam Locomotive) ที่วิ่งผ่านแม่น้ำโออิกาวะในจังหวัดชิซุโอกะ ไฮไลต์ของเส้นทางนี้คือวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่ตัดกับสายหมอกและภูเขาไฟฟูจิในบางจุด ทำให้คุณรู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปยุคโชวะ
- ระยะทาง: ประมาณ 37 กม. ใช้เวลาประมาณ 75 นาที
- สถานีหลัก: Shin-Kanaya → Senzu
- ช่วงเวลาสวย: ปลายตุลาคม – กลางพฤศจิกายน
- บรรยากาศ: รถไฟปล่อยควันไอน้ำขาวตัดกับสีส้มของใบไม้ และเสียงหวูดที่ก้องไปทั่วหุบเขา
Klook's Tips:
- จองตั๋วล่วงหน้า เนื่องจากรถไฟไอน้ำมีที่นั่งจำกัด
- เตรียมกล้องถ่ายรูป เพราะตลอดเส้นทางมีจุดถ่ายภาพมากมาย
- หากต้องการเพิ่มประสบการณ์ แนะนำให้นั่งขบวนที่มีตู้ Observation Deck
เคล็ดลับการนั่งรถไฟเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี
การนั่งรถไฟชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นเป็นประสบการณ์ที่ควรเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางสักนิด เพื่อให้คุณสนุกและคุ้มค่าที่สุด โดยเรามีเคล็ดลับไม่ยากมาแนะนำ ดังนี้
- จองตั๋วล่วงหน้า: รถไฟท่องเที่ยวเต็มเร็ว โดยเฉพาะช่วงพีคของฤดูใบไม้ร่วง
- เลือกที่นั่ง: เลือกฝั่งที่หันไปทางวิว เช่น ฝั่งแม่น้ำหรือทะเล
- พกเสื้อกันลม: เพราะอากาศหนาว โดยเฉพาะในโบกี้เปิดโล่ง
- ตรวจสอบสภาพอากาศ: หากฝนตกอาจทำให้ใบไม้ร่วงเร็วขึ้น
- ใช้ JR Pass หรือ Regional Pass: เพื่อประหยัดค่าเดินทางและขึ้นรถไฟได้หลายสาย
📌 FAQ คำถามที่พบบ่อย: รถไฟชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น
Q: ต้องจองตั๋วรถไฟชมใบไม้เปลี่ยนสีล่วงหน้าหรือไม่?
A: ควรจองล่วงหน้า โดยเฉพาะเส้นทางยอดนิยม เช่น Sagano และ Gono Line ที่เต็มเร็วมากในช่วงพีค
Q: JR Pass ใช้กับเส้นทางเหล่านี้ได้หรือไม่?
A: ใช้ได้เกือบทุกเส้นทาง ยกเว้นบางรถไฟพิเศษ เช่น Sagano Romantic Train ที่อาจต้องซื้อต่างหาก
Q: ถ้าเที่ยวเฉพาะภูมิภาคเดียว ควรซื้อ Pass แบบไหน?
A: แนะนำ Regional Pass เช่น JR East Pass หรือ JR Kansai Wide Area Pass จะคุ้มกว่าซื้อ JR Pass แบบ Nationwide
Q: นั่งรถไฟเส้นไหนเห็นวิวภูเขาไฟฟูจิ?
A: แนะนำ Oigawa Railway ในชิซุโอกะ ซึ่งบางมุมจะเห็นภูเขาไฟฟูจิพร้อมใบไม้แดง
Q: ช่วงไหนควรไปเพื่อให้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีสวยที่สุด?
A: แตกต่างตามภูมิภาค โดยทั่วไปคือ ปลายตุลาคม – กลางพฤศจิกายน สำหรับโตเกียว เกียวโต และคันไซ
สรุป: เส้นทางรถไฟสุดโรแมนติกชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น
การนั่งรถไฟชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นไม่ใช่แค่การเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง แต่คือการเปิดประสบการณ์ใหม่ที่ผสมผสานธรรมชาติ วัฒนธรรม และความโรแมนติกอย่างลงตัว ตลอดเส้นทางคุณจะได้สัมผัสวิวที่เปลี่ยนไปทุกโค้งของรางรถไฟ ตั้งแต่ป่าเขา แม่น้ำ สะพานสูง ไปจนถึงภูเขาไฟและชายฝั่งทะเล สายลมเย็นในฤดูใบไม้ร่วงและสีสันของใบไม้ที่เปลี่ยนเป็นเฉดสีแดง ส้ม และเหลืองจะทำให้ทุกนาทีของการเดินทางเต็มไปด้วยความสุขและความประทับใจ
หากคุณกำลังมองหาทริปที่ผ่อนคลายแต่เต็มไปด้วยความทรงจำ การนั่งรถไฟตามหนึ่งใน 5 เส้นทางที่เราแนะนำคือคำตอบ ไม่ว่าคุณจะเดินทางกับคนรัก ครอบครัว หรือแม้แต่มาคนเดียว คุณจะได้พบกับช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดของปีในประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการจัดการการเดินทางที่สะดวกสบายและปลอดภัย อย่าลืมจองตั๋วล่วงหน้า วางแผนเส้นทางให้ดี และเตรียมกล้องถ่ายภาพให้พร้อม เพราะประสบการณ์ครั้งนี้จะเป็นภาพจำที่ตราตรึงไปอีกนาน
บทความเที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มเติม
Klook คืออะไร?
Klook คือแพลตฟอร์มชั้นนำของเอเชียสำหรับการจองกิจกรรมและบริการท่องเที่ยวแบบครบวงจร
เราคัดสรรประสบการณ์คุณภาพ ตั้งแต่แหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง ทัวร์ท้องถิ่น การเดินทางภายในประเทศ ไปจนถึงที่พักหลากสไตล์ ครอบคลุมกว่า 3,400 จุดหมายทั่วโลก
รองรับการใช้งานใน 15 ภาษา และสามารถชำระเงินได้มากกว่า 40 สกุลเงิน ผ่านช่องทางชำระที่หลากหลาย ทำให้การจองกับ Klook สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย
Klook ก่อตั้งในปี 2014 มีเป้าหมายเพื่อสร้างช่วงเวลาแห่งความสุขให้กับนักเดินทางทุกคน ไม่ว่าคุณจะเที่ยวใกล้บ้านหรือออกเดินทางไกล Klook พร้อมพาคุณเชื่อมต่อกับโลกแห่งประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้ทุกที่ ทุกเวลา
🧡 ติดตาม Klook ได้ทาง
- Facebook: @klookth
- Instagram: @klooktravel_th
- TikTok: @klookth
- YouTube: @klookTH
- LINE Official Account: @klookth
































