วัดคิโยะมิซุ
รีวิวเที่ยว วัดคิโยะมิซุ
ที่เที่ยวใกล้ วัดคิโยะมิซุ
คำถามพบบ่อยเมื่อไป วัดคิโยะมิซุ
ช่วงเวลาไหนที่เหมาะกับการเยี่ยมชมวัดคิโยมิซุเดระของเมืองเกียวโตมากที่สุด?
ช่วงเวลาไหนที่เหมาะกับการเยี่ยมชมวัดคิโยมิซุเดระของเมืองเกียวโตมากที่สุด?
ฉันสามารถเดินทางไปวัดคิโยมิซุเดระจากสถานีเกียวโตได้อย่างไร?
ฉันสามารถเดินทางไปวัดคิโยมิซุเดระจากสถานีเกียวโตได้อย่างไร?
ฉันควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อเยี่ยมชมวัดคิโยมิซุเดระคืออะไร?
ฉันควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อเยี่ยมชมวัดคิโยมิซุเดระคืออะไร?
วัดคิโยมิซุเดระเปิดทำการกี่โมง?
วัดคิโยมิซุเดระเปิดทำการกี่โมง?
มีกิจกรรมหรืองานพิเศษที่วัดคิโยมิซุเดระหรือไม่?
มีกิจกรรมหรืองานพิเศษที่วัดคิโยมิซุเดระหรือไม่?
ฉันสามารถถ่ายรูปภายในวัดได้หรือไม่?
ฉันสามารถถ่ายรูปภายในวัดได้หรือไม่?
มีร้านค้าและของที่ระลึกบริเวณวัดหรือไม่?
มีร้านค้าและของที่ระลึกบริเวณวัดหรือไม่?
ก่อนไป วัดคิโยะมิซุ ต้องรู้อะไรบ้าง?
เที่ยววัดคิโยะมิซุ

ประวัติและที่มาของวัดคิโยะมิซุ
วัดคิโยะมิซุเดระ (Kiyomizu-dera) หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ "วัดน้ำใส" เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเกียวโต ตั้งอยู่บนเนินเขาโอโตวะทางทิศตะวันออกของเมือง ประวัติศาสตร์ของวัดเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 778 ในยุคนารา จากตำนานที่เล่าว่าพระภิกษุนามว่า "เอ็นชิน" ได้นิมิตเห็นน้ำตกบริสุทธิ์ท่ามกลางขุนเขา ท่านจึงออกเดินทางตามนิมิตนั้นจนได้พบกับ "น้ำตกโอโตวะ" และได้พบกับผู้บำเพ็ญพรตนามว่า "เกียวเอ โคจิ" ซึ่งได้มอบท่อนไม้ศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ท่านเพื่อแกะสลักเป็นรูปเคารพขององค์เจ้าแม่กวนอิม 11 พักตร์ หลังจากนั้นไม่นาน แม่ทัพคนสำคัญนามว่า "ซะกะโนะอุเอะ โนะ ทะมุระมะโระ" ได้มาล่าสัตว์ในบริเวณนี้และได้พบกับพระเอ็นชิน ท่านแม่ทัพเกิดความเลื่อมใสในคำสอนของพระพุทธศาสนา จึงได้รื้อถอนบ้านของตนเองแล้วนำมาสร้างใหม่เพื่ออุทิศเป็นวิหารหลักของวัด ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของวัดคิโยะมิซุ
ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา วัดคิโยะมิซุเดระได้รับความเคารพศรัทธาและเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่หลายครั้งจากภัยสงครามและความขัดแย้งต่างๆ ทำให้อาคารส่วนใหญ่ที่เราเห็นในปัจจุบันไม่ใช่อาคารดั้งเดิม หากแต่สร้างขึ้นใหม่ในการบูรณะครั้งสำคัญที่สุดในปี ค.ศ. 1633 ภายใต้คำสั่งของโชกุนคนที่สามแห่งตระกูลโทคุงาวะ คือ "โทคุงาวะ อิเอะมิตสึ" การบูรณะครั้งนี้ได้รังสรรค์สถาปัตยกรรมที่น่าทึ่งขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งระเบียงไม้ขนาดใหญ่ของวิหารหลักที่สร้างยื่นออกมาจากไหล่เขา ซึ่งก่อสร้างขึ้นด้วยเทคนิคการเข้าไม้แบบโบราณของญี่ปุ่นอย่างน่าอัศจรรย์ โดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว และยังคงตั้งตระหง่านอย่างแข็งแรงมาจนถึงทุกวันนี้
จวบจนถึงปัจจุบัน วัดคิโยะมิซุเดระยังคงเป็นศูนย์รวมจิตใจและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1994 องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้วัดคิโยมิซุเดระเป็นส่วนหนึ่งของ "อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เกียวโตโบราณ" ในฐานะมรดกโลก เพื่อเป็นการยืนยันถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม นอกจากนี้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วัดยังได้ผ่านการบูรณะครั้งใหญ่ในยุคเฮเซเพื่อซ่อมแซมและอนุรักษ์โครงสร้างหลักให้คงอยู่ต่อไป ทำให้วัดคิโยะมิซุเดระยังคงยืนหยัดอย่างสง่างาม เป็นสถานที่ที่ผสมผสานประวัติศาสตร์อันยาวนาน สถาปัตยกรรมอันน่าทึ่ง และความสำคัญทางจิตวิญญาณเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
อาคารสำคัญภายในวัดคิโยะมิซุ
วัดคิโยะมิซุ หรือ "วัดน้ำใส" เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่และงดงามที่สุดในเกียวโต ภายในวัดมีอาคารที่สำคัญหลายแห่ง ซึ่งล้วนมีประวัติศาสตร์และความหมายทางศาสนาพุทธที่ลึกซึ้ง

1. อาคารหลัก (Hondo)
อาคารหลักของวัดเป็นที่ประดิษฐานของ พระโพธิสัตว์กวนอิม 11 พักตร์ 1000 กร ซึ่งเป็นองค์พระประธานของวัด สถาปัตยกรรมของอาคารหลังนี้โดดเด่นด้วยระเบียงไม้ขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้น ดยไม่ใช้ตะปูและยื่นออกมาจากหน้าผา ทำให้กลายเป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น
2. อาคารโอคุโนะอิน (Okunoin Hall)
ตั้งอยู่ด้านหลังของอาคารหลัก โอคุโนะอินเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่สวยงามไม่แพ้ระเบียงใหญ่ของวัด โดยสามารถมองย้อนกลับมาเห็นอาคารหลักได้อย่างงดงาม
3. อาคารชากะ (Shaka Hall)
เป็นอาคารที่ประดิษฐานพระพุทธรูป พระศากยมุนี (พระพุทธเจ้า) และใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
4. อาคารอะมิดา (Amida Hall)
อาคารนี้เป็นที่ประดิษฐานพระอมิตาภพุทธะ (Amida Buddha) ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าตามความเชื่อของพุทธศาสนานิกายสุขาวดี

5. เจดีย์สามชั้น (Three-storied Pagoda)
ตั้งอยู่ทางเข้าวัด เป็นหนึ่งในเจดีย์สามชั้นที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และถือเป็นสัญลักษณ์ของวัดคิโยะมิซุ
6. ศาลเจ้า "รักแท้" จิชู (Jishu Shrine)
ศาลเจ้าขนาดเล็กที่อยู่ภายในบริเวณวัดคิโยะมิซุ เป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าแห่งความรัก "โอคุนินุชิ" (Okuninushi no Mikoto) นักท่องเที่ยวมักมาทำพิธีขอพรเรื่องความรัก และลองเดินหลับตาจากหินศักดิ์สิทธิ์ก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อน ซึ่งเชื่อกันว่าหากเดินไปถึงได้โดยไม่ลืมตา ความรักของตนจะสมหวัง

7. ประตูนิโอมอน (Niomon Gate)
เป็นประตูหลักของวัด มีลักษณะเป็นอาคารไม้สีแดงโดดเด่น และเป็นจุดแรกที่ผู้มาเยือนจะพบเมื่อเข้าสู่วัด
8. หอระฆัง (Bell Tower)
เป็นอาคารที่ใช้แขวนระฆังขนาดใหญ่ ซึ่งใช้ตีในโอกาสพิเศษทางศาสนา
ตำนานวัดน้ำใสและน้ำตกโอโตวะ
วัดคิโยะมิซุถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 780 และมีเอกลักษณ์โดดเด่นตรงที่มี น้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านบริเวณวัด น้ำจากน้ำตกนี้เป็นน้ำธรรมชาติที่ใสสะอาดจนกลายเป็นที่มาของชื่อวัดว่า "คิโยะมิซุ" (清水) ซึ่งแปลว่า "น้ำบริสุทธิ์" ผู้คนเชื่อกันว่าหากได้ดื่มน้ำจากน้ำตกแห่งนี้จะได้รับพรในเรื่อง สุขภาพ การศึกษา และความรัก
กิจกรรมไฮไลต์ของวัดคิโยะมิซุ
ดื่มน้ำ 3 สายจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall)
น้ำตกศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลมาจากภูเขา สามารถดื่มน้ำจาก 3 สาย โดยแต่ละสายเชื่อกันว่าจะนำมาซึ่งโชคดีมาในเรื่องที่แตกต่างกันไป ตามความเชื่อโบราณ ห้ามดื่มทั้ง 3 สายพร้อมกัน เพราะอาจถูกมองว่าโลภมากเกินไป
สายที่ 1: ความสำเร็จด้านการศึกษา: เหมาะสำหรับนักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่ต้องการความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
สายที่ 2: สุขภาพดีและอายุยืน: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมีสุขภาพแข็งแรงและอายุยืนยาว
สายที่ 3: ความรักและความสัมพันธ์ที่ดี: เหมาะสำหรับคนโสดที่ต้องการพบรักแท้ หรือผู้ที่ต้องการเสริมความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น
ขอพรเรื่องความรักที่ศาลเจ้าจิชู (Jishu Shrine)
ศาลเจ้าชินโตที่ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรด้านความรัก มีก้อนหินแห่งโชคชะตา (Love Stones) ที่เชื่อว่าหากเดินหลับตาแล้วเดินจากหินก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนสำเร็จ จะสมหวังในความรัก
ชมใบไม้เปลี่ยนสีและซากุระบาน
ฤดูใบไม้ร่วง (พฤศจิกายน - ต้นธันวาคม): ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดง ส้มและทอง สวยงามมาก
ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม - เมษายน): ซากุระบานสะพรั่งทั่วบริเวณวัด โรแมนติกสุด ๆ
ศาลเจ้าชื่อดังอื่นๆ ในเกียวโต
ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Taisha)
ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ เป็นหนึ่งในศาสนสถานที่โด่งดังและเป็นภาพจำที่งดงามที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ในฐานะศาลเจ้าหลักของศาลเจ้าอินาริกว่าสามหมื่นแห่งทั่วประเทศ ที่นี่สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพเจ้าอินาริ เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์และความสำเร็จทางธุรกิจตามความเชื่อชินโต ผู้มาเยือนจะสังเกตเห็นรูปปั้นสุนัขจิ้งจอก (คิทสึเนะ) จำนวนมากอยู่ทั่วบริเวณ ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้ส่งสารของเทพเจ้านั่นเอง เอกลักษณ์ที่ทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกคืออุโมงค์เสาโทริอิสีแดงสดนับหมื่นต้น หรือที่เรียกว่า "เซ็มบงโทริอิ" ซึ่งได้รับการบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาเพื่อเป็นการขอบคุณต่อพรที่ได้รับ เสาโทริอิเหล่านี้ทอดยาวต่อเนื่องเป็นเส้นทางเดินขึ้นสู่ยอดเขาอินะริอันศักดิ์สิทธิ์ ทำให้การเดินผ่านอุโมงค์แห่งนี้เปรียบเสมือนการเดินทางเข้าสู่โลกอันเงียบสงบและเปี่ยมด้วยมนต์ขลัง ถือเป็นประสบการณ์ที่ผสมผสานระหว่างการแสวงบุญและการเดินป่าชมทิวทัศน์อันงดงามของเมืองเกียวโตได้อย่างลงตัว
ศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine)
ศาลเจ้ายาซากะตั้งอยู่ ณ ใจกลางย่านกิออนอันคึกคักและมีชีวิตชีวา ทำให้ที่นี่เป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนและเป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดในเกียวโต ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายแด่เทพซูซาโนโอะ โนะ มิโคโตะ เทพเจ้าแห่งพายุและท้องทะเลตามตำนานเทพปกรณัมญี่ปุ่น ผู้คนจากทั่วสารทิศต่างเดินทางมาเพื่อสวดอ้อนวอนขอพรให้มีสุขภาพที่แข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และเพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ออกไปจากชีวิต เมื่อถึงยามค่ำคืน ศาลเจ้าจะเผยความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ออกมา ด้วยโคมไฟกระดาษนับร้อยดวงที่ประดับประดาอยู่รอบเวทีกลางซึ่งจะถูกจุดให้สว่างไสว สร้างบรรยากาศอันอบอุ่นและน่าเลื่อมใส นอกจากนี้ ศาลเจ้ายาซากะยังเป็นสถานที่จัด "เทศกาลกิออน" ซึ่งเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่นในเดือนกรกฎาคม ด้วยความที่ศาลเจ้าเปิดให้เข้าชมได้ตลอด 24 ชั่วโมง จึงเป็นจุดหมายปลายทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสความสงบและงดงามยามค่ำคืนหลังจากการเดินเล่นในย่านกิออน
ศาลเจ้าเฮอัน (Heian Jingu)
ศาลเจ้าเฮอันโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมสีแดงสดใสและมีขนาดใหญ่โต สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1895 เพื่อรำลึกถึงวาระครบรอบ 1,100 ปีของการก่อตั้งกรุงเกียวโต หรือ "เฮอันเคียว" ในอดีต ศาลเจ้าแห่งนี้อุทิศถวายแด่ดวงพระวิญญาณของจักรพรรดิคัมมุและจักรพรรดิโคเม ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์แรกและองค์สุดท้ายที่ทรงครองราชย์ในเกียวโต สัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดคือเสาโทริอิยักษ์สีแดงชาดที่ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณทางเข้า ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาโทริอิที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น เมื่อก้าวผ่านเข้าไปจะพบกับหมู่สถาปัตยกรรมที่จำลองแบบมาจากพระราชวังอิมพีเรียลในยุคเฮอันโดยย่อขนาดลงมา ทำให้ผู้มาเยือนได้ชื่นชมความสง่างามของสถาปัตยกรรมในอดีต นอกจากนี้ บริเวณด้านหลังของศาลเจ้ายังเป็นที่ตั้งของสวนญี่ปุ่นขนาดใหญ่ที่งดงามอย่างน่าทึ่ง ซึ่งมีทั้งสระน้ำ สะพานจีน และพืชพรรณนานาชนิดที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละฤดูกาล ถือเป็นโอเอซิสแห่งความสงบที่ซ่อนตัวอยู่ใจกลางเมือง
ศาลเจ้าคิตาโนะ เท็นมังกู (Kitano Tenmangu)
ศาลเจ้าคิตาโนะ เท็นมังกู เป็นศูนย์กลางของศาลเจ้าเท็นมังกูทั่วประเทศ และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะ "เทพเจ้าแห่งการศึกษา" ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับซุกาวาระ โนะ มิจิซาเนะ นักปราชญ์และขุนนางคนสำคัญในยุคเฮอัน ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าเท็นจิน เทพแห่งการเรียนรู้และความสำเร็จทางการศึกษา ทำให้ในแต่ละปีมีนักเรียนนักศึกษาจำนวนมากเดินทางมาเพื่อขอพรให้สอบผ่านและประสบความสำเร็จ สัญลักษณ์สำคัญของศาลเจ้าคือรูปปั้นวัวจำนวนมากที่ตั้งอยู่ทั่วบริเวณ เนื่องจากเชื่อว่าวัวเป็นสัตว์ผู้ส่งสารของเทพเจ้าเท็นจิน และการลูบหัวของรูปปั้นวัวจะช่วยเสริมสร้างสติปัญญา นอกจากความสำคัญด้านการศึกษาแล้ว ศาลเจ้าแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงด้านสวนดอกบ๊วยกว่า 2,000 ต้นที่จะบานสะพรั่งอย่างงดงามในปลายฤดูหนาว และในทุกวันที่ 25 ของเดือน บริเวณรอบศาลเจ้าจะคึกคักไปด้วยตลาดนัดเท็นจินซัง ตลาดนัดของเก่าและสินค้ามือสองที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเกียวโต
ดูกิจกรรมอื่น ๆ บน Klook
สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเกียวโต
- 1 ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ
- 2 อาราชิยาม่า
- 3 ตลาดนิชิกิ
- 4 กิออน
- 5 วัดคินคะคุจิ
- 6 เส้นทางป่าไผ่อาราชิยามะ
- 7 ปราสาทนิโจ
- 8 แม่น้ําคาโมะ
- 9 พระราชวังหลวงเคียวโตะ
- 10 ถนนปอนโตโช
- 11 ย่านนิเนซากะ
- 12 วัดซันจูซันเกนโด
- 13 สวนลิงอาราชิยามะ อิวาทายามะ
- 14 Toei Kyoto Studio Park
- 15 วัดรุริโคอิน
- 16 วัดไซโฮจิ
- 17 Funaoka Onsen
- 18 พิพิธภัณฑ์รถไฟเกียวโต
- 19 เขาฮิเอ