ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่คุณสามารถเดินทางไปโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการขนส่ง เพราะระบบรถไฟที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพทำให้คุณเดินทางได้สะดวกและครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ มีรถไฟหลายประเภทที่ให้บริการในเมืองต่าง ๆ ของญี่ปุ่น ซึ่งแผนที่และการขึ้นรถไฟอาจดูงง ๆ สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนครั้งแรก แต่โชคดีที่เรามีคู่มือนี้เพื่อช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับรถไฟของญี่ปุ่นให้กับคุณ!
รถไฟชินคันเซ็นที่มีชื่อเสียงวิ่งเร็วขนาดไหน?
เมื่อพูดถึงความเร็วและประสิทธิภาพ รถไฟชินคันเซ็น หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Bullet Train" ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของการขนส่งสมัยใหม่ รถไฟความเร็วสูงเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีรูปลักษณ์ที่คล้ายกับกระสุนที่ออกแบบมาอย่างเรียบหรู แต่ยังใช้ความเร็วได้อย่างน่าทึ่งตามชื่อที่ได้รับ
ชินคันเซ็นสามารถทำความเร็วได้สูงถึง 240 ถึง 340 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขึ้นอยู่กับเส้นทางและรุ่นของรถไฟ ทำให้ผู้โดยสารได้สัมผัสการเดินทางที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ในบรรดาเส้นทางชินคันเซ็นหลายเส้นทาง, เส้นทาง โทโฮคุ ชินคันเซ็น (Tohoku Shinkansen) เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความเร็วสูงสุดที่คงที่ที่ 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เส้นทางนี้เชื่อมต่อโตเกียวกับภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น และเป็นตัวอย่างของวิศวกรรมที่ยอดเยี่ยม ความเร็วในการทำงาน และความแม่นยำที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ชินคันเซ็น
ผู้โดยสารบนรถไฟความเร็วสูงเหล่านี้สามารถเพลิดเพลินกับการเดินทางที่รวดเร็วและไร้รอยต่อ ซึ่งสามารถครอบคลุมระยะทางที่ยาวไกลในเวลาสั้น ๆ ได้อย่างน่าทึ่ง
ประเภทของรถไฟชินคันเซ็นในญี่ปุ่นมีอะไรบ้าง?
รถไฟชินคันเซ็นแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ตามความเร็วและจำนวนสถานีที่จอด:
- รถไฟด่วนพิเศษ (Fast Trains) จอดเฉพาะที่สถานีหลัก ๆ เท่านั้น
- รถไฟด่วนกึ่งพิเศษ (Semi-Fast Trains) มีการจอดเพิ่มขึ้นในบางสถานี
- รถไฟท้องถิ่น (Local Trains) จอดทุกสถานี
วิธีนั่งรถไฟชินคันเซ็นในญี่ปุ่น
รถไฟชินคันเซ็นเชื่อมต่อผู้เดินทางไปยังทุกภูมิภาคของญี่ปุ่น Klook ครอบคลุมเส้นทางรถไฟชินคันเซ็นทั้งหมดกว่า 30,000 เส้นทาง รวมถึงสายด่วนพิเศษหลัก ๆ ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถนั่งรถไฟชินคันเซ็นได้ง่าย ๆ เพียง 2 ขั้นตอน:
1. ซื้อตั๋วเดินทางเที่ยวเดียว สำหรับเส้นทางที่คุณต้องการล่วงหน้าบน Klook
2. รับตั๋วผ่าน QR Code ที่สถานีก่อนออกเดินทาง
วิธีจองตั๋วรถไฟชินคันเซ็นบน Klook
สามารถจองตั๋วชินคันเซ็นผ่าน Klook ได้อย่างง่ายดายโดยทำตามคำแนะนำในระบบที่มีภาษาไทยให้ด้วย!
จำเป็นต้องใช้ JR Pass เพื่อขึ้นชินคันเซ็นในญี่ปุ่นหรือไม่?
หนึ่งในวิธีที่ยืดหยุ่นที่สุดในการเดินทางด้วยชินคันเซ็นและรถไฟอื่น ๆ ในญี่ปุ่นคือ JR Pass เพราะ JR Pass ครอบคลุมเส้นทางรถไฟชินคันเซ็นทั้งหมด (ยกเว้นขบวน Nozomi และ Mizuho) รวมถึงรถบัสท้องถิ่นและเรือเฟอร์รี่ไปยังมิยาจิมะ ให้คุณเดินทางแบบไม่จำกัดเป็นเวลา 7, 14 หรือ 21 วัน เพื่อสำรวจทั่วทั้งญี่ปุ่น! ดังนั้นหากคุณคิดว่าทริปญี่ปุ่นของคุณจะต้องเดินทางเยอะ ลองพิจาณาซื้อ JR Pass เพราะเป็นตัวเลือกที่คุ้ม แต่หากคุณไม่มีแพลนเดินทางข้ามเมืองเยอะนัก การซื้อชินคันเซ็นรายเที่ยวอาจคุ้มค่ามากกว่า
ความแตกต่างระหว่างประเภทที่นั่งของรถไฟชินคันเซ็น
ตั๋วชินคันเซ็นแบบจองที่นั่ง
ที่นั่งบนรถไฟชินคันเซ็นแบ่งออกเป็น 2 ประเภท:
- ที่นั่งแบบจองล่วงหน้า (Reserved Seat): คุณจะได้รับที่นั่งและขบวนรถไฟที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
- ที่นั่งแบบไม่จองล่วงหน้า (Non-Reserved Seat): คุณจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพราะสามารถขึ้นรถไฟขบวนใดก็ได้ที่อยู่ในเส้นทางและวันที่กำหนด อย่างไรก็ตาม ไม่รับประกันว่าคุณจะมีที่นั่ง อาจต้องยืนตลอดการเดินทาง
การจำแนกอายุสำหรับตั๋วรถไฟชินคันเซ็น
- ตั๋วผู้ใหญ่ (Adult Ticket): อายุ 12 ปีขึ้นไป
- ตั๋วเด็ก (Child Ticket): อายุ 6-11 ปี ราคาจะอยู่ที่ครึ่งหนึ่งของตั๋วผู้ใหญ่
- ตั๋วเด็กไม่สามารถใช้จองที่นั่งใน Green Car ได้
- หากต้องการให้เด็กนั่งใน Green Car ต้องซื้อตั๋วผู้ใหญ่ให้เด็ก
- เด็กเล็ก (Infants): อายุ 0-5 ปี ไม่ต้องทำการจองตั๋ว
- ไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ยกเว้นในกรณีต่อไปนี้:
- ผู้ใหญ่ 1 คนเดินทางพร้อมเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี มากกว่า 2 คน (ในกรณีนี้ต้องซื้อตั๋วเด็ก)
- เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีต้องการที่นั่งของตัวเอง (ในกรณีนี้ต้องซื้อตั๋วเด็ก)
ฉันจะรับตั๋วได้อย่างไรหลังจากซื้อตั๋วชินคันเซ็น?
- ตั๋วแบบ QR Code: สำหรับเส้นทาง เช่น โตเกียว - ชินโอซาก้า, เกียวโต, นาโกย่า + ขบวนที่ออกจากสถานีฝั่งตะวันออกของชินโอซาก้า (รวมถึงชินโอซาก้า)
- คุณจะได้รับอีเมลยืนยันการจองที่มี QR Code
- นำ QR Code ไปสแกนที่เครื่องออกตั๋วอัตโนมัติของ JR East / JR Tokai / JR Hokkaido เพื่อรับตั๋วกระดาษ
- ตั๋วกระดาษ (ส่งถึงที่อยู่ในญี่ปุ่น): สำหรับเส้นทาง เช่น ฮากาตะ - โอซาก้า / เกียวโต / นาโกย่า และ ฮิโรชิม่า - โอซาก้า / เกียวโต / นาโกย่า + ขบวนที่ออกจากสถานีฝั่งตะวันตกของชินโอซาก้า (ไม่รวมชินโอซาก้า)
- คุณสามารถเลือกให้ส่งตั๋วไปยังที่อยู่ในญี่ปุ่น (เช่น โรงแรมของคุณ)
- เพียงกรอกข้อมูลที่อยู่และข้อมูลติดต่อขณะสั่งซื้อ และคุณควรได้รับตั๋วก่อนเวลารถไฟออก
วิธีจองที่นั่งบนรถไฟชินคันเซ็นในญี่ปุ่น
แตกต่างจากรถไฟท้องถิ่น รถไฟชินคันเซ็นมีที่นั่งแบ่งออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่ Ordinary Car และ Green Car
- Green Car: เทียบเท่ากับที่นั่งชั้นหนึ่ง มีที่นั่งกว้างขวาง ปรับเอนได้ พร้อมที่วางเท้า คุณจะได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น รวมถึงบริการเครื่องดื่มและของว่างฟรี ฯลฯ และทุกขบวนมี WiFi ฟรี
- Ordinary Car: ค่อนข้างสะดวกสบาย แต่ถ้าคุณต้องการความหรูหราหรือเดินทางเป็นเวลานาน Green Car ก็เป็นตัวเลือกที่ดี อย่างไรก็ตาม Ordinary Car ยังคงให้ประสบการณ์การเดินทางที่ดีในราคาที่ย่อมเยากว่า และทุกขบวนมี WiFi ฟรี
ควรจองที่นั่งหรือไม่?
รถไฟชินคันเซ็นมีทั้งตู้ที่นั่งแบบ จองล่วงหน้า (Reserved) และ ไม่จองล่วงหน้า (Non-Reserved) แต่เราแนะนำให้จองที่นั่งไว้ล่วงหน้า เผื่อกรณีที่ที่นั่งแบบไม่จองล่วงหน้าถูกจองเต็ม
หากคุณจอง Green Car การจองที่นั่งเป็นสิ่งจำเป็น หลังจากซื้อตั๋ว JR Pass แล้ว ให้ทำการจองที่นั่งก่อนขึ้นรถไฟ โดยสามารถจองได้ที่ สำนักงานขายตั๋ว (Ticket Office) หรือเครื่องจองตั๋วแบบจองที่นั่ง (Reserved Seat Ticket Machine) ในสถานี JR
💡 เคล็ดลับจาก Klook: ค่าธรรมเนียมการจองที่นั่งมักจะฟรี สำหรับผู้ถือ Japan Rail Pass เพราะฉะนั้นจองที่นั่งไว้ก่อนสะดวกกว่า และยังได้นั่งใกล้กับเพื่อนร่วมทางของคุณอีกด้วย
ตั๋วรถไฟหมดอายุเมื่อไหร่?
- ตั๋วที่นั่งแบบจอง (Reserved Seat Ticket): หมดอายุทันทีหลังจากเวลารถไฟที่คุณจองออกเดินทาง
- ตั๋วที่นั่งแบบไม่จอง (Non-Reserved Seat Ticket): หมดอายุหลังจากวันที่เดินทางที่ระบุผ่านไป (โดยทั่วไปอาจหมดอายุเวลา 23:59 น. แต่ในบางสถานีอาจหมดอายุก่อน หากเคาน์เตอร์ขายตั๋วปิดทำการ)
สามารถเก็บสัมภาระบนรถไฟชินคันเซ็นได้หรือไม่?
- กฎสัมภาระขึ้นอยู่กับแต่ละสายของชินคันเซ็น บางสายต้องจองที่นั่งพิเศษสำหรับสัมภาระขนาด 161 - 250 ซม.
- สัมภาระที่มีขนาดต่ำกว่า 160 ซม. ไม่จำเป็นต้องจองที่นั่งพิเศษ
- โดยทั่วไป ผู้โดยสารสามารถนำสัมภาระขึ้นรถไฟได้ สูงสุด 2 ชิ้น แต่ละชิ้นต้องไม่เกิน 30 กก. และสามารถวางไว้ ด้านหน้าที่นั่งหรือชั้นวางเหนือศีรษะ
การจองพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่
แนะนำให้คุณไปถึงสถานีต้นทางล่วงหน้าและแจ้งพนักงานเพื่อจองพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ ค่าธรรมเนียมประมาณ ¥1,000
มีอาหารขายบนรถไฟชินคันเซ็นหรือไม่?
- รถไฟชินคันเซ็นสามารถรับประทานอาหารได้อย่างค่อนข้างเต็มที่ โดยคุณสามารถซื้อ เครื่องดื่ม ขนม และอาหาร ได้ที่สถานีรถไฟล่วงหน้า หรือซื้อจากรถเข็นอาหารบนขบวน ซึ่งมีให้เลือกทั้ง เบนโตะ ซูชิ สาเก เบียร์ และอื่นๆ
- กฎสำคัญที่สุด คือ เก็บขยะของคุณเอง และ อย่าทิ้งขยะไว้บนรถไฟ นี่คือเหตุผลที่รถไฟญี่ปุ่นสะอาดและเป็นระเบียบเสมอ!
มีเส้นทางรถไฟชินคันเซ็นกี่สายในญี่ปุ่น?
ญี่ปุ่นมี 9 สายชินคันเซ็น ที่ครอบคลุมทั่วประเทศและวิ่งไปในหลายทิศทาง
- Tokaido Shinkansen
- เชื่อมต่อ โตเกียว - โอซาก้า (จากเมืองหลวงไปยังภูมิภาคทางใต้)
- Sanyo Shinkansen
- เชื่อมต่อ โอซาก้า - ฟุกุโอกะ
- Kyushu Shinkansen
- เชื่อมต่อจาก ฟุกุโอกะไปยังเกาะคิวชู (เหนือ-ใต้)
นอกจากนี้ ยังมี 6 สายชินคันเซ็นที่วิ่งขึ้นเหนือหรือลงในพื้นที่ตอนในจากโตเกียว:
- Akita Shinkansen
- Hokkaido Shinkansen (วิ่งไปยังเกาะฮอกไกโด)
- Hokuriku Shinkansen
- Joetsu Shinkansen
- Tohoku Shinkansen
- Yamagata Shinkansen
รถไฟชินคันเซ็นในญี่ปุ่นเชื่อถือได้หรือไม่?
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ รถไฟญี่ปุ่นมีชื่อเสียง ก็คือ ความตรงต่อเวลาและความน่าเชื่อถือ รถไฟญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่อง ความตรงต่อเวลาเป็นอย่างมาก โดยทั่วไปแล้ว การล่าช้าแทบไม่เกิดขึ้นเลย นี่เป็นผลมาจาก การวางแผนที่รอบคอบ และ การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ของผู้ให้บริการรถไฟ
ความน่าเชื่อถือของระบบรถไฟทำให้ ผู้โดยสารสามารถวางแผนการเดินทางได้อย่างมั่นใจ ซึ่งทำให้ รถไฟเป็นตัวเลือกที่สะดวกและไว้ใจได้ที่สุด สำหรับการเดินทางทั้งในเมืองและต่างจังหวัด
นอกจากนี้ ระบบรถไฟของญี่ปุ่นยังโดดเด่นในด้าน ความสะดวกสบาย ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุม ทั้งเมืองใหญ่ พื้นที่ชนบท และภูมิภาคห่างไกล ทำให้การเดินทางเป็นเรื่องง่ายสำหรับทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว
รถไฟชินคันเซ็นเป็นรถไฟประเภทเดียวในญี่ปุ่นหรือไม่?
ญี่ปุ่นมี รถไฟหลายประเภท ซึ่งแบ่งตาม ความเร็วและจำนวนจุดจอด เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้โดยสารทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยว ได้แก่
- รถไฟท้องถิ่น (Local Train):
- ช้าที่สุด แต่จอดทุกสถานี ทำให้เข้าถึงแม้แต่พื้นที่ห่างไกล
- รถไฟด่วนพิเศษ (Rapid Train):
- ข้ามบางสถานีเพื่อลดเวลาการเดินทาง
- รถไฟด่วน (Express & Limited Express Train):
- หยุดเฉพาะสถานีสำคัญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง
- รถไฟชินคันเซ็น (Shinkansen - Bullet Train):
- วิ่งบนรางเฉพาะทาง ทำให้เดินทางด้วยความเร็วสูงสุด และเชื่อมต่อเมืองหลักได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยระบบรถไฟที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ การเดินทางในญี่ปุ่นจึงสะดวกและง่ายดายสำหรับทุกคน!




































